วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

เพชรที่หาได้จากโคลนในถิ่นสลัม

      
         เรื่องที่ ๒  เรื่อง  "เพชรที่หาได้จากโคลนในถิ่นสลัม"  อาตมาต้องขอใช้คำอย่างนี้  เพราะไม่ทราบว่าจะใช้คำอย่างไรดี  ที่จะให้รวดเร็วและสั้นๆท่านจะรู้สึกอย่างไรก้อตามใจที่จะต้องใช้คำอย่างนี้  "เพชรที่หาพบจากโคลนในถิ่นสลัม"  เรื่องนี้ก้อเล่าว่า  อาจารย์แห่งนิกายเซ็น  ชื่อ กูโด  เป็นอาจารย์ของจักรพรรดิแห่งประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้น  ท่านอาจารย์องค์นี้ชอบเที่ยวไปไหนคนเดียวโดดๆอย่างนักบวชเร่ร่อนแบบปริพพาชก  ไม่ค่อยได้อยู่กับวัดวาอาราม  ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปยังตำบลอีโด  เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งของท่านที่จะมีแก่คนอื่น  ท่านได้ผ่านตำบลๆหนึ่ง  เย็นวันนั้นฝนก็ตกมา  ท่านจึงเปียกปอนไปหมด  และรองเท้าของท่านที่ใช้  เป็นรองเท้าที่ทำด้วยฟาง  เพราะนักบวชนิกายเซ็นใช้รองเท้าฟางถักทั้งนั้น  เมื่อฝนตกตลอดวัน  รองเท้าก้อขาดยุ่ยไปหมด  ท่านจึงเหลียวดูว่า  จะมีอะไรที่ไหนจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้บ้าง  ก็พบกระท่อมน้อยๆแห่งหนึางในถิ่นใกล้ๆนั้น  เห็นรองเท้าฟางมีแขวนอยู่ด้วย  ก็คิดจะไปซื้อสักคู่นึง  เอาแห้งๆมาใส่เพื่อเดินทางต่อไป   หญิงเจ้าของบ้านนั้นเขาถวาย  เลยไม่ต้องซื้อ;  และเมื่อเห็นว่าเปียกปอนมาก  ก็เลยขอนิมนต์ให้หยุดอยู่ก่อน  เพราะฝนตกจนค่ำ  ท่านก็เลยต้องพักอยู่ที่บ้านนั้น  ด้วยคำขอร้องของหญิงเจ้าของบ้าน
         หญิงเจ้าของบ้านเรียกเด็กๆและญาติๆมาสนทนาด้วยท่านอาจารย์;  ท่านได้สังเกตเห็นว่า  สกุลนี้เป็นอยู่ด้วยความข้นแค้นที่สุด  ก็เลยขอร้องให้บอกเล่าตรงๆโดยไม่ต้องเกรงใจ  ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกัน  หญิงเจ้าของบ้านก้อบอกว่า  "สามีของดิฉันเป็นนักการพนัน  แล้วก็ดื่มจัด  ถ้าเผอิญเค้าชนะ  เขาก็จะดื่มมันจนไม่มีอะไรเหลือ  ถ้าเขาแพ้  เขาก็ยืมเงินคนอื่นเล่นอีก  เพิ่มหนี้สินให้มากยิ่งขึ้น  เขาไม่เคยมาบ้านเลย  เป็นวันเป็นคืน  หรือหลายวันหลายคืนก็ยังมี;  ดิฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี"
          ท่านอาจารย์กูโดว่า  ไม่ต้องทำหรอก  ฉันจะช่วยทำ  แล้วก็ว่า  นี่ฉันมีเงินมาบ้าง  ช่วยให้ซื้อเหล้าองุ่นมาให้เหยือกใหญ่ๆเหยือกหนึ่ง  แล้วก็อะไรๆที่ดีๆที่น่ากินเอามาให้เป็นจำนวนเพียงพอ  เอามาวางที่นี่แล้วก็กลับไปทำงานตามเรื่องเถอะ  ฉันจะนั่งอยู่ที่นี่ตรงหน้าที่บูชา  ข้อนี้หมายความว่าบ้านนั้นก็มีหิ้งบูชาพระ  เมื่อผู้ชายคนนั้นกลับมาบ้าน  เวลาดึก  เขาก็เมา  เขาก็พูดตามประสาคนเมา  นี่คำนี้จะแปลว่ายังไง;  Hey! wife;  ก็ต้องแปลว่า  เมียโว้ย  มาบ้านแล้วโว้ย;  มีอะไรกินบ้างโว้ย  ตัวหนังสือเค้าเป็นอย่างนี้  ซึ่งมันก็เหมือนๆกับเมืองไทยเรานี้เอง  นี่ลองคิดดูว่าคนๆนี้จะเป็นอย่างไร;  ฉะนั้นกูโดท่านอาจารย์ที่นั่งที่หน้าหิ้งก็ออกรับหน้า  บอกว่า  ฉันได้มีทุกอย่างสำหรับท่านเผอิญฉันมาติดฝนอยู่ที่นี่  ภรรยาของท่านเขาขอร้องให้ฉันพักค้างฝนที่นี่ตลอดคืนนี้  ฉันก็ควรจะมีส่วนตอบแทนท่านบ้าง;  ฉะนั้นขอให้ท่านบริโภคสิ่งเหล่านี้ตามชอบใจ  ชายคนนั้นดีใจใหญ่;  มีทั้งเหล้าองุ่น  มีทั้งปลา  มีทั้งอาหารต่างๆ;  เขาก็ดื่มและรับประทานจนนอนหลับไปไม่รู้สึกตัว  อยู่ตรงข้างๆเข่าของท่านอาจารย์กูโด  ที่นั่งสมาธิ  ตลอดคืนนั้นเหมือนกัน  ทีนี้พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า  ชายคนนั้นก็ลืมหมดไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  เพราะเมื่อคืนนี้เขาเมาเต็มที่;  และถามว่าท่านเป็นใคร  และจะไปข้างไหน  ท่านอาจารย์ก็ตอบว่า  อ๋อ! อาตมาคือกูโด  แห่งนครกโยโต (Kyoto เกียวโต);  กำลังจะไปธุระที่ตำบลอิโด;  ตามเรื่องที่ว่ามาแล้วเมื่อกี้นี้  ถ้อยคำอย่างนี้มันประหลาด  ที่ว่าบางครั้งก็มีอิทธิพลมากมาย  คือว่าชายคนนั้นละอายจนเหลือที่จะรู้ว่าจะอยู่ที่ไหน  จะแทรกแผ่นดินหนีไปที่ไหน  ก็ทำไม่ไหว  แทรกไปไม่ได้  มันละอายถึงขนาดอย่างนั้นแล้วก็ขอโทษขอโพย  ขอแล้วขออีกจนไม่รู้จะขออย่างไร  ต่ออาจารย์ของพระจักรพรรดิ  ซึ่งจับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ที่บ้านเขา  ท่านกูโดก็ยิ้มละไมอยู่เรื่อย  แล้วก็พูดขึ้นช้าๆบอกว่า  "ทุกอย่างในชีวิตมันเปลี่ยนแปลงเรื่อย  เป็นกระแสไหลเชี่ยวไปทีเดียว;  และทั้งชีวิตนี้มันก้อสั้นเหลือเกินด้วย;  ถ้ายังเล่นการพนันและดื่มอยู่ดังนี้  ก็หมดเวลาที่จะทำอะไรอื่นให้เกิดขึ้นหรือสำเร็จได้;  นอกจากทำตัวเองให้เป็นทุกข์แล้ว  ก็จะทำให้ครอบครัวพลอยตกนรกทั้งเป็นกันไปด้วย"  ความรู้สึกอันนี้ได้ประทับใจนายคนนั้น  มีอาการเหมือนกับว่า  ตื่นขึ้นมาในโลกอื่น  เหมือนกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน;  ในที่สุดก็พูดกับท่านอาจารย์ว่า  ทีี่ท่านอาจารย์กล่าวนั้นมันถูกหมดเลย  มันถูกอย่างยิ่ง;  ถ้าอย่างไรก็ขอให้กระผมได้สนองพระคุณอาจารย์ในคำสอนที่ประเสริฐนี้  เพราะฉะนั้นขอให้กระผมออกติดตามท่านอาจารย์  ไปส่งท่านอาจารย์ในการเดินทางนี้  สักระยะหนึ่ง  ท่านอาจารย์กูโดก้อบอกว่าตามใจ  สองคนก็ออกเดินทางไปได้ประมาณ ๓ ไมล์  ท่านอาจารย์ก็บอกว่ากลับเถอะ;  นายคนนี้ก็บอกขออีกสัก ๕ ไมล์เถอะ;  ขยั้นขยอขอไปอีก ๕ ไมล์  แล้วก็ไปด้วยกันอีก  พอครบ ๕ ไมล์  อาจารย์ขยั้นขยอให้กลับอีก  ว่าถึงคราวที่ต้องกลับแล้ว;  นายคนนั้นก็บอกว่าขออีกสัก ๑๐ ไมล์เถอะ;  ในที่สุดก็ต้องยอม  พอถึง ๑๐ ไมล์ท่านอาจารย์ขยั้นขยอให้กลับ  เขาก็ว่าขอตลอดชีวิตของผมเถอะ;  นี่ก็เป็นอันว่า  ไปกับท่านอาจารย์  ไปเป็นนักบวชแห่งนิกายเซ็น  ซึ่งต่อมาก็เป็นปรมาจารย์พุทธศาสนาแห่งนิกายเซ็นในญี่ปุ่น  นิกายเซ็นทุกสาขาที่เหลืออยู่ในญี่ปุ่นในทุกวันนี้ออกมาจากอาจารย์องค์นี้องค์เดียวเท่านั้น  ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ที่สืบมาจากอาจารย์องค์นี้องค์เดียว  ท่านกลับตัวชนิดที่เราเรียกกันว่า  เพชรที่พบจากโคลนในถิ่นสลัม  นี้เป็นอย่างไรบ้างก็ลองคิดดู  ในประเทศญี่ปุ่นนายกรัฐมนตรบางคนก็มาจากเด้กขายน้ำเต้าหู้;  หาบเต้าหู้ขายจนมีสตางค์  จนไปเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์;  จากเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์  ก็เป็นนักเขียนหนังสือพิมพ์น้อยๆสั้นๆ;  และเขื่องขึ้นๆจนเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงและไปเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยหนึ่งในที่สุด  นี่เราจะบอกเด็กๆตาดำๆ  ของเราว่า  สิ่งต่างๆนั้นเปลี่ยนแปลงได้ถึงอย่างนี้กันสักทีจะได้ไหม  เด็กๆเขาจะมีความรู้สึกอย่างไรในฐานะของเขา  เขาจะทำตัวให้เป็นเหมือนกับ "เพชรที่พบในโคลนจากถิ่นสลัม"  ได้อย่างไร  โดยมากเขามักจะขายตนเองเสียถูกๆ  จนเป็นเหตุให้เขาวกไปหาความสุขทางเนื้อทางหนังต่ำๆเตี้ยๆไม่น่าดูนั้น  ก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่ไม่เคารพตัวเอง  ท้อถอยต่อการที่จะคิดว่ามันจะเป็นได้มากอย่างนี้
           พระพุทธเจ้าท่านก็ยังตรัสว่า  เกิดมาเป็นคนนี่ไม่ควรให้ตัวเอง;  "อตตาน น ทเทยยโปโส"  แปลว่า  เป็นลูกผู้ชาย  เป็นบุรุษ  ไม่ควรให้ซึ่งตน  ให้ซึ่งตนนี้  หมายความว่ายกตนให้เสียแก่กิเลสหรือธรรมชาติฝ่ายต่ำ  มันก็ไม่ได้คิดที่จะมีอะไรที่ใหญ่โตมั่นคง  ที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ให้จริงจังได้  ข้อนี้เรียกว่าเราควรจะถือเป็นหลักจริยธรรมข้อหนึ่งด้วยเหมือนกัน

:,มหรสพทางวิญญาณเพื่อจริยธรรม  นิทานเซ็น  เล่าโดย..ท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกขพลาราม   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น